วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การจัดองค์ประกอบภาพในการถ่ายวิดีโอ


การจัดองค์ประกอบภาพ ในการถ่ายวิดีโอ

ภาพคน


 เส้นตัดทั้ง 4 จุด A  B  C  D

คือ จุดตัดที่ต้องวางสิ่งที่เราต้องการให้เห็นเด่นในภาพวางสายตาไม่ให้ต่ำไปกว่าระดับเส้นแนวนอน AB

วางหน้าคนไว้เส้นแนตั้งด้านAC เมื่อคนหันหน้า ไปทางใดให้เว้นว่างด้านนั้นมากกว่า

หันหน้าไปทางขวามือเว้นช่องว่างด้านขวามากกว่าซ้าย


ภาพนี้หันหน้าไปทางซ้ายมือให้เว้นช่องว่างด้านซ้ายมากขึ้น




เมื่อถ่ายภาพใกล้ วางดวงตาไว้ไม่ให้ต่ำกว่าระดับเส้นแนวนอนด้านบน




และเว้นช่องว่างไว้ด้านหนึ่งเพื่อใส่ตัวโลโก้ หรือชื่อรายการ ชื่อพิธีกร



จัดภาพไว้ตรงกลางเมื่อมีส่วนประกอบอื่นๆเข้ามา แต่ระดับสายตาให้คงระนาบเดิม




ซูมภาพออกมา – ภาพชัดลึกตลอดทั้งด้านหน้าหลัง เห็นองค์ประกอบทั้งหมดไม่เน้นจุดเด่นใดๆ




การเน้นภาพด้วยการปรับความชัด ในแต่ละจุดเราแรกสั้นๆว่าการทำ   D-Focus

ปรับความชัดด้านหน้าเน้นแก้วกาแฟ



เทคนิคถ่ายวีดีโอง่ายๆ 10 ข้อที่ผู้ชมดูแล้วประทับใจ

1. คิดและวางแผนก่อนถ่ายวีดีโอ
ก่อนที่เราจะถ่ายวีดีโอในเหตุการณ์หรืองานอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องคิดและวางแผนก่อนว่า เราต้องการที่จะนำเสนออะไรในวีดีโอของเรา เช่น ผมไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนๆ ผมต้องการถ่ายวีดีโอที่เก็บบรรยากาศทั้งหมดว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง มีกิจกรรมอะไรที่ทำบ้าง และบรรยากาศในขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เราสามารถเขียนออกเป็นรายละเอียดได้ดังนี้
- ป้ายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และสภาพแวดล้อม เพื่อจะได้รู้ว่าไปเที่ยวที่ไหนกัน และเป็นอย่างไรบ้าง- บรรยากาศในขณะนั้น เช่น อาจจะถ่ายวีดีโอ candid เพื่อนๆ- มีกิจกรรมอะไรที่ทำบ้าง เช่น แวะซื้อของ เดินป่า เล่นน้ำตกเมื่อเราแยกย่อยลงไปในแต่ละช็อต เราก็ต้องคิดอีกทีครับว่า เราจะจัดวาง composition ในการถ่ายวีดีโอเป็นอย่างไร ให้ตรงกับความต้องการของเรา เช่น ในขณะที่กำลังนั่งเรือ เราอยากจะให้เห็นบรรยากาศเพื่อนๆในขณะนั่งเรือพร้อมกับวิวทิวทัศน์2. โฟกัสจุดที่เราสนใจในการถ่ายวีดีโอ
ก่อนที่เราจะกดบันทึกวีดีโอ เราจะต้องรู้ตัวเองดีว่า ในช็อตนี้เราต้องการที่จะถ่ายอะไร เราจะต้องถ่ายให้สำเร็จก่อนที่จะไปถ่ายสิ่งอื่นๆ เช่น ในขณะที่เรากำลังถ่ายเพื่อนของเราในงานรับปริญญาอยู่ เพื่อนของเรากำลังยืนถ่ายรูปกับเพื่อนๆอยู่ ขณะที่เรากำลังถ่ายวีดีโออยู่ มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านเราไป เราจะต้องถ่ายวีดีโอเพื่อนเราให้เสร็จก่อนที่จะหันกล้องไปถ่ายผู้หญิงสวยคนนั้น (ถ้าเดินไปไกลแล้วก็ถือว่าไม่ได้เป็นเนื้อคู่กัน ^ ^ )จุดประสงค์หลักในข้อนี้ คือ ต้องการให้เรามีสมาธิในการถ่าย เพราะจะทำให้การจัดวาง composition มีความแน่นอน และกล้องก็จะไม่สั่นด้วย3. ความยาวของวีดีโอในแต่ละช็อต
ธรรมชาติของคนเราเมื่อดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตาของคนเราจะจดจ้องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่นิ่งๆได้ไม่นาน เช่น เราดูวีดีโอการบรรยายของวิทยากร ถ้าการถ่ายวีดีโอมีเพียงการถ่ายเฉพาะวิทยากรที่กำลังนั่งบรรยายอยู่ (uncut video) เราดูได้ซักพักก็จะรู้สึกเบื่อ ง่วงนอน นั่นคือธรรมชาติของคนครับเราไม่ควรจะตัดต่อวีดีโอในแต่ละช็อตให้ยาวนานเกินไป ควรจะตัดต่อวีดีโอจากการถ่ายวีดีโอหลายๆมุม เช่น normal view + bird eyes view + worm view และใช้รูปแบบการถ่ายหลายๆรูปแบบ เช่น wide shot + medium shot + close up ผสมผสานกันไป เวลาตัดต่อวีดีโอก็ตัดสลับไปมาระหว่างช็อตต่างๆ เช่น ในขณะที่วิทยากรกำลังบรรยาย เราก็อาจเอาบรรยากาศคนกำลังนั่งฟังเข้ามาแทรก (cutting shots) เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของคนดูนอกจากนี้แล้ว พวก cutting shots ยังสามารถใช้สื่อความหมายของเหตุการ์ที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น ช็อตแรกเป็นหนูกำลังมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ทำให้ไม่กล้าลงไป ตัดมาช็อตที่สองเป็นรูปงู เป็นการสื่อความหมายว่าที่หนูไม่กล้าลงไปเพราะมีงูอยู่ด้านล่างนั่นเอง4. ใบหน้าถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีที่สุด
ถ้าเราต้องการจะสื่อสารถึงอารมณ์ของตัวละครในฉาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ดวงตา เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ปกติการถ่ายวีดีโออาจจะเริ่มที่ wide shot เพื่อให้เห็นบรรยากาศโดยรวมในขณะนั้น ฉากต่อมาอาจจะเป็น medium shot ระหว่างคนสองคนกำลังคุยกัน แต่พอเมื่อถึงจังหวะที่ต้องการจะสื่อสารถึงอารมณ์ในตัวละคร เช่น กำลังมีความสุข เศร้า หรือกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ เราจะต้องถ่ายวีดีโอแบบ close up เพื่อให้เห็นดวงตาที่ชัดเจนของผู้พูด
5. ซูมด้วยเท้าก่อนเป็นอันดับแรก
ยิ่งมีการใช้การซูมมากเท่าใด กล้องวีดีโอก็จะยิ่งมีความสั่นมากขึ้นเท่านั้น เป็นผลให้วีดีโอของเราไม่สามารถดูได้  เคยมีคนเคยคำนวณเอาไว้ว่า ถ้าเราซูมเข้าไป 10 เท่า การสั่นของกล้องวีดีโอก็จะเกิดขึ้น 10 เท่า
อันดับแรกที่จะแนะนำ คือ ใช้วิธีการเดินเข้าไปหาวัตถุแล้วถ่ายวีดีโอ โดยปรับค่าการซูมเป็นแบบกว้างที่สุด วิธีนี้ถึงแม้ว่ามือของเราจะสั่นเล็กน้อยในขณะทำการถ่าย แต่เนื่องจากกล้องวีดีโอมีระบบ image stabilization อยู่ จะทำให้มองไม่เห็นการสั่นเล็กน้อยเหล่านี้ถ้าเราไม่สามารถเดินเข้าไปถ่ายวัตถุใกล้ๆได้ เช่น ถ่ายวีดีโอสัตว์ที่อยู่ในกรง ให้เราใช้ขาตั้งกล้องวีดีโอช่วย โดยเราต้องเลือกขาตั้งกล้องให้เหมาะกับกล้องวีดีโอของเราด้วยกล้องวีดีโอจะมีระบบการซูม 2 แบบ คือ Optical zoom and Digital zoom ให้เราปิดการทำงานแบบ Digital zoom เพราะว่ามันเป็นการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งส่งผลให้คุณภาพที่ได้จากวีดีโอลดน้อยลงการซูมยังมีผลต่อระบบโฟกัสอีกด้วย โดยเฉพาะระบบ auto focus เมื่อเราทำการซูมไปที่วัตถุหนึ่ง เมื่อวัตถุนั้นมีการเคลื่อนที่ กล้องวีดีโออาจจะเกิดการเบลอเป็นช่วงๆ เนื่องมาจากการซูมจะทำให้มีโอกาสหลุดโฟกัสสูง6. Move – Point – Shoot – Stop
หลักการถ่ายวีดีโอง่ายๆมีอยู่ 5 ข้อครับ คือ
- Move เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่เราคิดว่า จะได้ช็อตที่ตรงกับความต้องการของเรา เช่น ถ้าเราต้องการถ่ายวีดีโอคู่บ่าวสาวเดินเข้ามาในงาน ให้ดูแล้วได้อารมณ์แบบยิ่งใหญ่ เราก็ต้องไปอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าคู่บ่าวสาว แล้วย่อตัวลงถ่ายวีดีโอในมุม worm view- Point หลังจากได้ตำแหน่งแล้ว ให้เราทำการจัด composition ของเราให้เรียบร้อยก่อนที่จะถ่าย ในบางช่วงเวลาเราจะต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นช็อตที่ต่อเนื่องกันมา ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการถ่ายวีดีโอของเราเอง เช่น จากตัวอย่างด้านบน ถ้าเราจัด composition ได้ช้า เราก็จะได้ช็อตที่คู่บ่าวสาวก็จะเดินมาถึงเราสั้นๆ ทำให้การตัดต่อวีดีโออาจจะไม่ค่อยสวยงามเท่าไร- Shoot หลังจากจัด composition แล้ว เราก็จะเริ่มถ่ายวีดีโอ โดยส่วนมากแล้วเราจะตั้งกล้องแบบนิ่งๆ วัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาจะเป็นจุดสนใจของผู้ชม หรือบางกรณีเราอาจจะเคลื่อนที่กล้องไปตามวัตถุ เพื่อที่จะสื่อสารถึงอารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ข้อแนะนำอย่างหนึ่งในการถ่าย คือ ไม่ควรใช้การซูมเข้าซูมออกในขณะถ่าย เพราะจะทำให้คนดูสับสนว่า จุดสนใจในช็อตนั้นมันคืออะไร
- Stop หลังจากที่เราถ่ายได้ช็อตที่เราต้องการแล้ว เราก็จะต้องเคลื่อนที่ไปหาตำแหน่งใหม่อีก เพื่อที่จะไปถ่ายช็อตที่เราต้องการต่อไป ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ
7. พยายามให้แสงอยู่ด้านหลังเรา
เดี๋ยวนี้กล้องวีดีโอสมัยใหม่จะมีโหมดการปรับแสงอัตโนมัติ ถ้ามีแสงสว่างมากเกินไปก็จะมีการเปิดรูรับแสงให้เล็กลง ในทางตรงกันข้ามถ้ามีแสงไม่เพียงพอ ก็จะมีการเปิดรูรับแสงให้กว้างขึ้นระบบกล้องวีดีโอจะเกิดการสับสนถ้าในช็อตเดียวกันมีสภาพแสงที่แตกต่างกันมาก เช่น การถ่ายวีดีโอหมู่นอกอาคาร บางคนที่โดนแดดก็จะสว่างมาก คนไหนที่ไม่โดนแดดก็จะดูมืดเกินไป วิธีเบื้องต้นในการแก้ไข คือ เปลี่ยนตำแหน่งในการถ่าย หรือถ้าไม่สามารถย้ายตำแหน่งได้จริงๆ เราอาจจะใช้วิธีหาอะไรบังคนที่โดนแดด และมีข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาถ่ายวีดีโอ เราควรจะให้แสงอยู่ทางด้านหลังของเรา เพื่อส่องไปยังวัตถุที่อยู่ด้านหน้าของเรา เช่น การถารถ่ายวีดีโอในอาคาร เราไม่ควรจะให้วัตถุอยู่บริเวณริมหน้าต่าง เพราะแสงอาทิตย์จะส่องมาทางด้านหลัง ทำให้เป็นการถ่ายย้อนแสง ผลที่ได้ คือ วัตถุจะมีลักษณะเป็นภาพ Silhouette เงาดำมืดการถ่ายวีดีโอในสถานที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ การปรับรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะทำให้ภาพสว่างขึ้น แต่ผลที่ได้เพิ่มเติมก็คือ ภาพจะแตกเป้นเม็ดๆ และสีในภาพของเราจะซีด ไม่สดเหมือนกับธรรมชาติทั่วๆไป8. อย่าใช้ effect ใดๆในกล้องวีดีโอ
เวลาเราถ่ายวีดีโออะไรก็ตาม เราไม่ควรจะใช้ฟังก์ชั่น effect ต่างๆที่กล้องวีดีโอมีให้ เช่น night vision, posterizing, sepia หรืออื่นๆ เพราะว่าเมื่อเราใช้แล้ว เราไม่สามารถที่จะแก้ไขวีดีโออันนั้นให้กลับมาเป็นปกติได้อีก เราควรจะถ่ายวีดีโอแบบปกติธรรมดา เมื่อเราได้ footage นั้นมาแล้ว ค่อยนำไปปรับแต่งแก้ไขในโปรแกรมตัดต่อวีดีโออีกที วิธีการนี้จะช่วยทำให้เราสามารถใช้วีดีโอได้ในหลากหลายสถานการณ์9. ชนิดของงานแปรผันกับความยาวของวีดีโอทั้งหมด
ในหัวข้อนี้จะพูดถึงเรื่องความยาวของวีดีโอทั้งหมดหลังจากตัดต่อเสร็จแล้ว เราจะต้องคิดและวางแผนตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า เราถ่ายวีดีโอเพื่อที่จะไปนำเสนออะไร เช่น ถ้าเราถ่ายวีดีโอเพื่อทำ wedding presentation ให้กับคู่บ่าวสาว วีดีโอของเราควรจะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที เราก็จะต้องคิดว่าในแต่ละฉาก ควรจะมีความยาวประมาณเท่าไร ฉากสัมภาษณ์ไม่ควรเกิน 2 นาที ฉากริมทะเลประมาณ 3 นาทีประมาณนี้ ถ้าเราทำวีดีโอที่มีความยาวมากเกินไป นอกจากจะทำให้น่าเบื่อแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
10. ไมโครโฟนภายนอกเป็นสิ่งจำเป็น
ปัญหาที่พบกันบ่อยๆในการถ่ายวีดีโอ คือ เรื่องเสียง เพราะว่าส่วนมากแล้วเราจะใช้ไมโครโฟนที่ติดมากับตัวกล้องถ่ายวีดีโอ ผลที่ได้ก็คือ ทั้งเสียงรถ เสียงคนคุยกัน เสียงเด็กร้องไห้ จะมารวมอยู่ในวีดีโอของเราหมด เพราะว่าไมโครโฟนที่ติดอยู่กับตัวกล้องมีลักษณะ คือ รับเสียงจากทุกทิศทางเข้ามาในตัวกล้อง

การจัดแสงการถ่ายวิดีโอ

ในปัจจุบันมีเครื่องมืออุปกรณ์มากมายในการตัดต่อวิดีโอที่ทั้งง่ายและสะดวก
การจัดฉากหลังก็สำคัญเช่นกันในถ่ายวิดีโอ แต่เอ๋ เราจะทำยังไงให้ออกมาเพอร์เฟคละ

วิธีที่1

1.ซอฟบ๊อก 2ตัว (1คู่หน้า) ถ้าลองหาราคาแล้วคิดว่ามันแพงไปก็ใช้เป็นร่มทะลุ
2.หัว e27 (หลอดเกลียวไฟบ้านทั่วไป) ที่เป็นปลั๊กเสียบ
3.หลอดแสงสีขาว (มันมีส้มกับขาว)
4.ขาตั้งและหัวจับร่ม (ถ้าเป็นซอฟบ๊อก โดยทั่วไปจะมีหัวจับมาให้ด้วย)

วิธีที่2 <วิธีประหยัด>




ลองลือกดูนะครับว่าถนัดกันแบบไหน

เจาะพฤติกรรม...คนไทยยุคดิจิตอล ติดโซเชียลมีเดีย-ใช้เน็ตถึง 32 ชม./สัปดาห์

 "สุรางคณา วายุภาพ" ผู้อำนวยการ สพธอ.ระบุว่า สพธอ.ใช้เวลากว่า 2 เดือนในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลาง เม.ย.-สิ้น พ.ค.ที่ผ่านมาจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 23,907 คน พบว่านอกจากจำนวนชั่วโมงในการใช้งานจะเพิ่มขึ้นมากแล้ว ยังมีการใช้มากกว่า 20 ชั่วโมงสูงสุดถึง 38.5% จากพัฒนาการของอุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเลต รวมถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายที่ครอบคลุมมากขึ้น ที่ยังไม่เปลี่ยนมากนักเป็นช่วงเวลาในการใช้งานที่อยู่ระหว่าง 2 ทุ่ม-เที่ยงคืน แต่น่าสังเกตว่า หลังเที่ยงคืน-8 โมงเช้ามีผู้ใช้น้อยลงอาจมาจากคุณภาพและความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น จึงไม่ต้องเลือกช่วงเวลา และพบอีกว่า 2 ทุ่ม-เที่ยงคืนเป็นช่วงที่เยาวชนอายุ 15-19 ปี และ 20-24 ปี ใช้งานสูงถึง 47% และ 54.5% ตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ดูละครทำให้ไม่ใส่ใจเยาวชน จึงอยากฝากให้ผู้ปกครองหันมาดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและเหมาะสมแก่เยาวชนในช่วงดังกล่าว

     สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ท่องอินเทอร์เน็ตบ่อยที่สุดยังมาจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือเดสก์ทอป 45% รองลงมาเป็นโน้ตบุ๊ก 25.3% สมาร์ทโฟน 22.7% แท็บเลต 6.8% และอื่นๆ 0.2% ถ้าโฟกัสเฉพาะอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือ Mobile Device จะแบ่งเป็นสมาร์ทโฟนมากสุด 69.5% โน้ตบุ๊ก 67.9% และแท็บเลต 35.3% "เชื่อว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า อุปกรณ์แบบเคลื่อนที่จะมีอิทธิพลสำคัญอย่างมากในโลกออนไลน์ แม้ปัจจุบันการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านเดสก์ทอปพีซียังมากถึง 77.5%" ส่วนกิจกรรมยอดนิยม 3 อันดับแรก ไม่ต่างจากเดิม เช่น การรับส่งอีเมล์ 54.4% ค้นข้อมูล 52.5% และใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ 33.2% ผู้ใหญ่มักใช้รับส่งอีเมล์แต่เด็กเน้นเล่นเกมออนไลน์และการดาวน์โหลดและพบด้วยว่า 93.8% เคยใช้โซเชียลมีเดีย มีแค่ 6.2% เท่านั้นที่ไม่เคยใช้ ที่มีการใช้มากสุด คือ เฟซบุ๊ก 92.2% กูเกิล พลัส 63.7% และแอปพลิเคชั่นแชต "ไลน์" 61.1% แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ใช้เป็นสมาร์ทโฟน 33.7% คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 31.6% โน้ตบุ๊ก 24.4%

     ถามว่าคนไทยใช้โซเชียลมีเดียเพื่ออะไร พูดคุย 85.7% อัพเดตข้อมูลข่าวสาร 64.6% อัพโหลดแชร์รูปภาพหรือวิดีโอ 60.2% พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้นักการตลาดนิยมนำโซเชียลมีเดียมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด โดยเฉพาะ Viral Marketing ซึ่งจะทำได้ต้องรู้จักพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า หากทำสำเร็จจะกลายเป็นจุดแข็งจุดขายที่ทรงพลังมาก แต่ถ้าไม่สำเร็จก็อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้าได้เช่นเดียวกัน

     "สพธอ." ยังสำรวจพฤติกรรมผู้ที่ซื้อสินค้าและบริการผ่านโซเชียลมีเดีย พบว่ามีผู้ที่สนใจใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางธุรกิจเกือบ 50% และเคยซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวด้วย เพราะสะดวกสบาย 76%, ราคาและโปรโมชั่นดีกว่า 45.7% ส่วนผู้ที่ไม่เคยซื้อให้เหตุผลว่า ไม่สามารถจับต้องสินค้าได้ ไม่ไว้ใจผู้ขาย กลัวโดนหลอก มูลค่าสินค้าที่มีการสั่งซื้อมากที่สุด อยู่ระหว่าง 501-1,000 บาท/ครั้ง ถึง 40.7% สินค้าที่มาแรง 3 อันดับ คือ แฟชั่น เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า 59%, อุปกรณ์ไอที 34.1% และเครื่องสำอาง 30.5%

     "สมหวัง เหลืองไพบูลย์ศรี" อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย เสริมว่า คนทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซต้องปรับตัวนำโซเชียลมีเดียมาใช้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ธุรกิจนี้ยังจำเป็นต้องอาศัยแพลตฟอร์มหลัก เนื่องจากการซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดียยังไม่ได้แก้ปัญหาการชำระเงิน ดังนั้น เวลามีการสั่งสินค้าจึงอาจเปลี่ยนใจได้

     "ทิวา ยอร์ค" กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บริษัท สนุก ออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แนวโน้มการใช้โซเชียลมีเดียจะเป็นไปทางไหน บางคนบอกว่าไลน์จะมาแทนเฟซบุ๊ก แต่ตนมองว่าไม่มีทางเพราะการใช้คนละแบบกัน โดยเฟซบุ๊กเป็นการติดต่อเพื่อนเก่า อัพสเตตัส แต่ไลน์เป็นการแชตกันส่วนตัวหรือในกลุ่ม แต่ที่เห็นชัดเจนคือ การใช้มือถือเปลี่ยนไป จากสถิติการเข้าใช้เว็บไซต์ "ดีลฟิช" ผ่านโทรศัพท์มือถือ ปีที่แล้วมีแค่ 10% แต่เดือนที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 37%

     "ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" ในฐานะนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยกล่าวว่า การใช้โซเชียลมีเดียของคนไทยโตขึ้นมาก สถิติการเข้าใช้อินสตาแกรมปัจจุบันมีกว่า 8 แสนคน/วัน มีผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 19 ล้านราย เป็นเพจในการทำธุรกิจกว่า 3 แสนเพจ และยูทูบกว่า 1.8 ล้านวิดีโอ ทำให้การซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดียมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงตามมาคือการหลอกลวง ฉ้อโกง

     ผอ.สพธอ.ทิ้งท้ายด้วยว่า ได้สำรวจการใช้งานโครงการฟรีไวไฟของกระทรวงไอซีที พบว่า มีผู้เคยใช้บริการ 35.3% และไม่เคยใช้ 64.8% กลุ่มที่ไม่เคยใช้เพราะใช้บริการรายอื่นอยู่, ไม่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อ และอยู่นอกพื้นที่ คนเคยใช้กว่า 55.5% มีความพึงพอใจ ทั้งให้ข้อเสนอแนะว่า ควรปรับปรุงด้านความสะดวกสบายในการลงทะเบียนใช้งาน และเพิ่มระยะเวลาการใช้งาน

     "รัฐบาลช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งแจกแท็บเลต สร้างศูนย์กลางการเรียนรู้ไอซีทีชุมชน ฟรีไวไฟ คาดว่า ปี 2558 ประชาชนจะใช้อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ครอบคลุมกว่า 80% และในปี 2563 มากกว่า 95% ทำให้ประชาชนตื่นตัวและสะดวกสบายในการใช้งาน ยกระดับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทย"

ที่มา: hitech.sanook.com