จิตแพทย์ชี้เด็กเป็นโรคเครียด เหตุครูสั่งการบ้านเยอะแถมยากบวกกังวลครอบครัว แนะครูลดปริมาณการบ้าน ผู้บริหาร สพฐ.แจงมีระเบียบคุมเข้ม เฟ้นหาร.ร.สอนเยี่ยม-การบ้านน้อยเป็นแบบอย่างให้ร.ร.ทั่วประเทศ ระบุหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับปรับปรุงให้เด็กทุกระดับชั้นเรียนน้อยลง ส่งผลการบ้านลดลง
นพ.จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กเป็นโรคเครียดมากขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากปัญหาครอบครัว และส่วนหนึ่งเกิดจากการเรียน โดยเฉพาะเรื่องของการบ้านในแต่ละรายวิชา บางรายวิชานั้นเยอะจนเกินไปและยังยากอีกด้วย อาจจะส่งผลให้เด็กเครียด บางครอบครัวพอตรวจสอบตารางการบ้านพบว่าใช้เวลาทำการบ้านเกือบ 3 ชั่วโมง ทำให้เด็กไม่มีเวลาพักทั้งที่เมื่อเลิกเรียนก็อยากจะเล่นสนุกเป็นอิสระ
นพ.จอม กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กเครียดนั้นมีปัจจัยหลัก คือ 1.การเรียน เช่น ครูอาจจะสั่งการบ้านเยอะเกินไป หากแต่ละวันครูสั่งการบ้านมากถึง 5 วิชา เด็กก็อาจจะเครียด และอาจจะเกิดจากถูกครูดุ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนในโรงเรียน เช่น โดนเพื่อนแกล้ง 2.เด็กวิตกกังวลว่าพ่อแม่ไม่รัก รักคนอื่นมากกว่าตนเอง กลัวว่าพ่อแม่ทะเลาะกันและจะแยกทางกัน
นพ.จอม กล่าวต่อไปว่า ความเครียดของเด็กแบ่งออกเป็นได้ 3 ระดับอาการ ระดับแรก เด็กอาจจะเครียด วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ แต่ไม่กระทบต่อผลการเรียน และความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง ส่วน ระดับที่สอง ส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์ของคนรอบข้างแล้ว และ ระดับที่สาม เป็นระดับที่รุนแรงและมีผลกระทบอย่างมาก ทำให้เด็กไม่มีสมาธิ ผลการเรียนตก ซึมเศร้า เหม่อลอย อยากตาย ร่างกายไม่มีพละกำลัง
"ครูต้องใส่ใจต่อเด็กให้มากในเรื่องการสั่งการบ้าน เด็กที่มีปัญหาการเรียน อาจจะเพราะรับรู้ช้า หรือสมาธิสั้น ครูอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีสั่งการบ้าน หรือสั่งการบ้านพิเศษให้แก่เด็กที่มีปัญหา แยกกันว่าเด็กที่ไม่มีปัญหาการเรียน หรือพวกที่ติดท็อปเท็น อาจจะสั่งการบ้านปกติ แต่เด็กที่สมาธิสั้นอาจจะสั่งการบ้านที่ง่ายๆ และไม่เยอะจนเกินไป แต่ในปัจจุบันพบว่าครูส่วนมากไม่ค่อยได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้มากเท่าที่ควร เด็กก็เลยเครียด" นพ.จอม กล่าว
นายสุชาติ วงศ์สุวรรณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา สพฐ.เคยหารือกับโรงเรียนเรื่องปัญหาการให้การบ้านเด็กเยอะมาหลายครั้ง และได้ออกแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการที่โรงเรียนให้การบ้านเด็กตั้งแต่สมัยนางพรนิภา ลิมปพยอม เป็นเลขาธิการ กพฐ. และนายอดิศัย โพธารามิก เป็น รมว.ศึกษาธิการ เช่น โรงเรียนต้องดูว่าวิชาหลักๆ เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ จะต้องให้การบ้านเด็กเท่ากัน โดยแบ่งเวลาในวันจันทร์-ศุกร์ดูว่าแต่ละวิชาจะให้การบ้านเด็กอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กมีการบ้านมากเกินไป จะได้มีเวลาพักผ่อนและออกกำลังกาย
"การให้การบ้านเด็กนั้นภายในโรงเรียนทั้งผู้บริหารและครูจะต้องพูดคุยตกลงกันแต่ละวิชาจะให้การบ้านเด็กอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กมีการบ้านมากเกินไป และเมื่อเด็กอยู่โรงเรียนก็ควรให้ทำการบ้านให้เสร็จ สพฐ.ได้ให้โรงเรียนมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอยู่แล้ว ทำให้ครูรู้จักและเข้าใจเด็กเป็นรายบุคคล และวางแผนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กแต่ละคน เช่น เด็กเรียนรู้ช้า สมาธิสั้น ครูจะเข้าใจว่าควรให้การบ้านเด็กกลุ่มนี้อย่างไร" นายสุชาติ กล่าว
นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า ผอ.สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า หากครูให้การบ้านเยอะ พ่อแม่ก็มองว่าลูกเรียนหนัก หรือถ้าลูกมีการบ้านน้อย พ่อแม่ก็มักสงสัยโรงเรียนสอนดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ทั้งฉบับเดิมและหลักสูตรฉบับปรับปรุงใหม่ ไม่ระบุลงลึกถึงการให้การบ้านนักเรียนเพียงแต่บอกถึงหลักสูตรและแนวทางการจัดการเรียนการสอน
"หลักสูตรใหม่นี้มี 8 กลุ่มสาระเหมือนเดิม แต่เมื่อนำมาใช้แล้ว จะทำให้เด็กเรียนน้อยลง เพราะระบุชัดเจนว่า ระดับประถมให้เรียนไม่เกิน 1,000 ชั่วโมงต่อปี มัธยมต้นไม่เกิน 1,200 ชั่วโมงต่อปี และมัธยมปลายรวม 3 ปี ไม่เกิน 3,600 ชั่วโมงต่อปี และต้องจัดเวลาให้เด็กออกกำลังกาย ต่างจากหลักสูตรเก่าที่ไม่ระบุชัดเจนว่า แต่ละระดับห้ามเกินกี่ชั่วโมง เชื่อว่าเมื่อเวลาเรียนลดลง จะทำให้การบ้านนักเรียนแต่ละระดับชั้นลดลงไปด้วย นอกจากนี้ สพฐ.ยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองผ่านเว็บไซต์ www.obec.go.th ของ สพฐ. ถึงแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์จัดทำเป็นคู่มือแนวทางการจัดการเรียนการสอนให้โรงเรียน และจะใส่ข้อมูลด้วยว่าโรงเรียนจะสอนอย่างไรให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข" นางเบญจลักษณ์ กล่าว
นางเบญจลักษณ์ กล่าวอีกว่า ปัญหานักเรียนมีการบ้านเยอะเกิดจากครูแต่ละวิชาต่างให้การบ้านนักเรียนโดยไม่ได้หารือกันก่อน ผู้บริหารและครูจะต้องพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เด็กมีการบ้านมากเกินไป โดยนำการบ้านแต่ละวิชามาบูรณาการกันแทนที่จะให้การบ้านในแต่ละรายวิชา จะทำให้เด็กมีการบ้านน้อยลง ซึ่งจะต้องให้แต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ประสานและทำความเข้าใจกับโรงเรียนในพื้นที่
"สพฐ.จะคัดเลือกโรงเรียนที่สอนได้อย่างมีคุณภาพ โดยที่นักเรียนมีการบ้านไม่เยอะมาเป็นตัวอย่างให้โรงเรียนต่างๆ จะเปิดให้โรงเรียนและครูทั่วประเทศเสนอเข้ามาผ่านเว็บไซต์ สพฐ. แล้วคัดเลือกโรงเรียนกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งมาเสนอในการประชุม ผอ.สพท.ทั่วประเทศในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ สพท.แต่ละแห่งนำไปใช้เป็นตัวอย่างและทำความเข้าใจกับโรงเรียนในพื้นที่" นางเบญจลักษณ์ กล่าว
นายศิลปชัย บูรณพานิช นายกสมาคมพัฒนาวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ครูทั่วประเทศได้ปรับเปลี่ยนการสอนและการให้การบ้านนักเรียนแล้ว ปัจจุบันก่อนที่ครูจะให้การบ้านจะต้องวิเคราะห์ผู้เรียนและประสานกับครูในกลุ่มสาระวิชาอื่นๆ ก่อน เช่น การทำโครงงาน เดิมแต่ละกลุ่มสาระวิชาต่างฝ่ายต่างสั่งงานนักเรียน แต่ปัจจุบันครูในแต่ละกลุ่มสาระวิชาต้องปรึกษากันก่อนที่จะสั่งให้เด็กทำโครงงาน จะช่วยให้เด็กทำเพียง 1 โครงงานแต่ได้เรียนรู้หลายกลุ่มสาระวิชา
Credit กรุงเทพธุรกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น