วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

จิตแพทย์ชี้เด็กเป็นโรคเครียด การบ้านเยอะ

จิตแพทย์ชี้เด็กเป็นโรคเครียด เหตุครูสั่งการบ้านเยอะแถมยากบวกกังวลครอบครัว แนะครูลดปริมาณการบ้าน ผู้บริหาร สพฐ.แจงมีระเบียบคุมเข้ม เฟ้นหาร.ร.สอนเยี่ยม-การบ้านน้อยเป็นแบบอย่างให้ร.ร.ทั่วประเทศ ระบุหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับปรับปรุงให้เด็กทุกระดับชั้นเรียนน้อยลง ส่งผลการบ้านลดลง 

นพ.จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กเป็นโรคเครียดมากขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากปัญหาครอบครัว และส่วนหนึ่งเกิดจากการเรียน โดยเฉพาะเรื่องของการบ้านในแต่ละรายวิชา บางรายวิชานั้นเยอะจนเกินไปและยังยากอีกด้วย อาจจะส่งผลให้เด็กเครียด บางครอบครัวพอตรวจสอบตารางการบ้านพบว่าใช้เวลาทำการบ้านเกือบ 3 ชั่วโมง ทำให้เด็กไม่มีเวลาพักทั้งที่เมื่อเลิกเรียนก็อยากจะเล่นสนุกเป็นอิสระ 

นพ.จอม กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กเครียดนั้นมีปัจจัยหลัก คือ 1.การเรียน เช่น ครูอาจจะสั่งการบ้านเยอะเกินไป หากแต่ละวันครูสั่งการบ้านมากถึง 5 วิชา เด็กก็อาจจะเครียด และอาจจะเกิดจากถูกครูดุ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนในโรงเรียน เช่น โดนเพื่อนแกล้ง 2.เด็กวิตกกังวลว่าพ่อแม่ไม่รัก รักคนอื่นมากกว่าตนเอง กลัวว่าพ่อแม่ทะเลาะกันและจะแยกทางกัน

นพ.จอม กล่าวต่อไปว่า ความเครียดของเด็กแบ่งออกเป็นได้ 3 ระดับอาการ ระดับแรก เด็กอาจจะเครียด วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ แต่ไม่กระทบต่อผลการเรียน และความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง ส่วน ระดับที่สอง ส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์ของคนรอบข้างแล้ว และ ระดับที่สาม เป็นระดับที่รุนแรงและมีผลกระทบอย่างมาก ทำให้เด็กไม่มีสมาธิ ผลการเรียนตก ซึมเศร้า เหม่อลอย อยากตาย ร่างกายไม่มีพละกำลัง

"ครูต้องใส่ใจต่อเด็กให้มากในเรื่องการสั่งการบ้าน เด็กที่มีปัญหาการเรียน อาจจะเพราะรับรู้ช้า หรือสมาธิสั้น ครูอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีสั่งการบ้าน หรือสั่งการบ้านพิเศษให้แก่เด็กที่มีปัญหา แยกกันว่าเด็กที่ไม่มีปัญหาการเรียน หรือพวกที่ติดท็อปเท็น อาจจะสั่งการบ้านปกติ แต่เด็กที่สมาธิสั้นอาจจะสั่งการบ้านที่ง่ายๆ และไม่เยอะจนเกินไป แต่ในปัจจุบันพบว่าครูส่วนมากไม่ค่อยได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้มากเท่าที่ควร เด็กก็เลยเครียด" นพ.จอม กล่าว

นายสุชาติ วงศ์สุวรรณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา สพฐ.เคยหารือกับโรงเรียนเรื่องปัญหาการให้การบ้านเด็กเยอะมาหลายครั้ง และได้ออกแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการที่โรงเรียนให้การบ้านเด็กตั้งแต่สมัยนางพรนิภา ลิมปพยอม เป็นเลขาธิการ กพฐ. และนายอดิศัย โพธารามิก เป็น รมว.ศึกษาธิการ เช่น โรงเรียนต้องดูว่าวิชาหลักๆ เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ จะต้องให้การบ้านเด็กเท่ากัน โดยแบ่งเวลาในวันจันทร์-ศุกร์ดูว่าแต่ละวิชาจะให้การบ้านเด็กอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กมีการบ้านมากเกินไป จะได้มีเวลาพักผ่อนและออกกำลังกาย

"การให้การบ้านเด็กนั้นภายในโรงเรียนทั้งผู้บริหารและครูจะต้องพูดคุยตกลงกันแต่ละวิชาจะให้การบ้านเด็กอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กมีการบ้านมากเกินไป และเมื่อเด็กอยู่โรงเรียนก็ควรให้ทำการบ้านให้เสร็จ สพฐ.ได้ให้โรงเรียนมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอยู่แล้ว ทำให้ครูรู้จักและเข้าใจเด็กเป็นรายบุคคล และวางแผนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กแต่ละคน เช่น เด็กเรียนรู้ช้า สมาธิสั้น ครูจะเข้าใจว่าควรให้การบ้านเด็กกลุ่มนี้อย่างไร" นายสุชาติ กล่าว

นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า ผอ.สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า หากครูให้การบ้านเยอะ พ่อแม่ก็มองว่าลูกเรียนหนัก หรือถ้าลูกมีการบ้านน้อย พ่อแม่ก็มักสงสัยโรงเรียนสอนดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ทั้งฉบับเดิมและหลักสูตรฉบับปรับปรุงใหม่ ไม่ระบุลงลึกถึงการให้การบ้านนักเรียนเพียงแต่บอกถึงหลักสูตรและแนวทางการจัดการเรียนการสอน

"หลักสูตรใหม่นี้มี 8 กลุ่มสาระเหมือนเดิม แต่เมื่อนำมาใช้แล้ว จะทำให้เด็กเรียนน้อยลง เพราะระบุชัดเจนว่า ระดับประถมให้เรียนไม่เกิน 1,000 ชั่วโมงต่อปี มัธยมต้นไม่เกิน 1,200 ชั่วโมงต่อปี และมัธยมปลายรวม 3 ปี ไม่เกิน 3,600 ชั่วโมงต่อปี และต้องจัดเวลาให้เด็กออกกำลังกาย ต่างจากหลักสูตรเก่าที่ไม่ระบุชัดเจนว่า แต่ละระดับห้ามเกินกี่ชั่วโมง เชื่อว่าเมื่อเวลาเรียนลดลง จะทำให้การบ้านนักเรียนแต่ละระดับชั้นลดลงไปด้วย นอกจากนี้ สพฐ.ยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองผ่านเว็บไซต์ www.obec.go.th ของ สพฐ. ถึงแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์จัดทำเป็นคู่มือแนวทางการจัดการเรียนการสอนให้โรงเรียน และจะใส่ข้อมูลด้วยว่าโรงเรียนจะสอนอย่างไรให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข" นางเบญจลักษณ์ กล่าว

นางเบญจลักษณ์ กล่าวอีกว่า ปัญหานักเรียนมีการบ้านเยอะเกิดจากครูแต่ละวิชาต่างให้การบ้านนักเรียนโดยไม่ได้หารือกันก่อน ผู้บริหารและครูจะต้องพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เด็กมีการบ้านมากเกินไป โดยนำการบ้านแต่ละวิชามาบูรณาการกันแทนที่จะให้การบ้านในแต่ละรายวิชา จะทำให้เด็กมีการบ้านน้อยลง ซึ่งจะต้องให้แต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ประสานและทำความเข้าใจกับโรงเรียนในพื้นที่

"สพฐ.จะคัดเลือกโรงเรียนที่สอนได้อย่างมีคุณภาพ โดยที่นักเรียนมีการบ้านไม่เยอะมาเป็นตัวอย่างให้โรงเรียนต่างๆ จะเปิดให้โรงเรียนและครูทั่วประเทศเสนอเข้ามาผ่านเว็บไซต์ สพฐ. แล้วคัดเลือกโรงเรียนกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งมาเสนอในการประชุม ผอ.สพท.ทั่วประเทศในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ สพท.แต่ละแห่งนำไปใช้เป็นตัวอย่างและทำความเข้าใจกับโรงเรียนในพื้นที่" นางเบญจลักษณ์ กล่าว

นายศิลปชัย บูรณพานิช นายกสมาคมพัฒนาวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ครูทั่วประเทศได้ปรับเปลี่ยนการสอนและการให้การบ้านนักเรียนแล้ว ปัจจุบันก่อนที่ครูจะให้การบ้านจะต้องวิเคราะห์ผู้เรียนและประสานกับครูในกลุ่มสาระวิชาอื่นๆ ก่อน เช่น การทำโครงงาน เดิมแต่ละกลุ่มสาระวิชาต่างฝ่ายต่างสั่งงานนักเรียน แต่ปัจจุบันครูในแต่ละกลุ่มสาระวิชาต้องปรึกษากันก่อนที่จะสั่งให้เด็กทำโครงงาน จะช่วยให้เด็กทำเพียง 1 โครงงานแต่ได้เรียนรู้หลายกลุ่มสาระวิชา

Credit  กรุงเทพธุรกิจ

ปัญหาของวัยรุ่นไทย ในปัจจุบัน

 ปัญหาของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน 


 วัยรุ่นกับการขาดความมั่นใจในตนเอง
คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าคะที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง จะทำอะไรก็ต้องคอย ตามเพื่อน จะแต่งตัวก็ต้องตามแฟชั่น ไม่กล้าที่จะทำอะไรแตกต่างจากคนอื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า สิ่งที่คุณอยาก ทำนั้นเป็นสิ่งดี -หรือบางทีก็ต้องจำใจทำตามเพื่อนทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนทำ

 วัยรุ่นกับยาเสพย์ติด
เรื่องการลองยา เสพย์ยาในหมู่วัยรุ่นเป็นเรื่องที่ฮิตมาก เป็นมาทุกยุคทุกสมัย
และผู้ใหญ่จำนวนมากทีเดียวที่มักเหมาเอาว่า เป็นเพราะความอยากรู้อยากลองและเป็น

 หนีออกจากบ้าน/ไม่อยากอยู่บ้าน
วัยรุ่นหนีออกจากบ้าน / ไม่อยากอยู่บ้าน มักมีสาเหตุหลัก ๆ อย่างน้อย 2 ประการ คือ 1. บ้านไม่เป็นสุข 2. ติดเพื่อน ทางช่วยเหลือแก้ไขที่ดีก็คือ แก้ตามเหตุ 2 ประการนั้น ทั้งนี้อย่าได้ด่วนวิตก และตื่นตระหนก จนเกินไป

 คิดมากและกังวลบ่อยๆ
ปัญหาของเด็กวัยรุ่นที่มีลักษณะคิดมากและกังวลใจบ่อย ๆ นั้น โดยทั่วไปวัยรุ่น จะเป็นวัยที่ช่างคิดช่างฝันและช่างจินตนาการ ซึ่งในบางคนจะมีลักษณะ คิดมากกว่าทำ หรือผิดแล้วมิได้พูดคุยให้ใครทราบ แต่จะคิดวนในเรื่องเดิมซ้ำ ๆ หรือบางคนจะครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาใด


6 เทคนิคเขียนข้อความโฆษณาออนไลน์ให้น่าสนใจ

    การเขียนข้อความโฆษณาให้น่าสนใจนั้น นับว่ามีความสำคัญมากสำหรับการทำโฆษณาบน Google Adwords เพราะจะทำให้ลูกค้าเลือกที่จะคลิกโฆษณาของเราก่อน แม้ว่าโฆษณาของเราจะอยู่อันดับต่ำ หรือสูงกว่าคู่แข่งก็ตาม

6 เทคนิคที่ผู้โฆษณาพึงระลึกไว้ในการเขียนโฆษณามีดังนี้

 เขียนข้อความโฆษณาให้น่าดึงดูด  กระตุ้นความสนใจ
 อธิบายให้ชัดเจนว่า สินค้า หรือบริการที่เราต้องการนำเสนอคืออะไร
 เน้นย้ำจุดขายของสินค้า บริการ หรือข้อเสนอของเราให้ชัดเจน
 ระบุสิ่งที่ต้องการให้ลูกค้าทำ หรือที่เรียกว่า Call to action นั่นเอง เช่น “สั่งซื้อออนไลน์ที่นี่!” หรือ “สมัครสมาชิกวันนี้!”
 ทดสอบข้อความโฆษณาหลายๆข้อความ เพื่อให้ทราบว่าแบบไหนกันแน่ที่ได้ผลดีกว่ากัน เกิดจากความชอบของกลุ่มเป้าหมายจริงๆ ไม่ได้เกิดจากความชอบส่วนตัวของผู้เขียน
 พาคนที่คลิกไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับข้อความโฆษณามากที่สุด

ใครที่กำลังคิดหาทางเขียนข้อความโฆษณาแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี แนะนำให้เริ่มต้นจากแนวทางทั้ง 6 ข้อที่ได้กล่าวมาข้างต้นครับ ที่สำคัญ หลังจากเขียนข้อความโฆษณา และลงโฆษณาบน Google ไปแล้ว ก็อย่าลืมติดตามวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วยครับ

ที่มา : http://www.ads-now.com/



เทคนิครักษาอาการ ติดมือถือ วิธีง่ายๆ ที่ควรใส่ใจ เพื่อตัวคุณเอง และคนรอบข้าง

   อาการติดมือถือ ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อบุคคลรอบข้างของผู้ที่ติดมือถือด้วย การหมกมุ่นอยู่โลกของมือถือ อาจจะทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างห่างเหิน  สำหรับคนที่สงสัยว่าตัวเองใช้เวลาไปกับมือถือมากจนเกินไป แนะนำว่าให้อ่านบทความนี้อาจจะช่วยลดอาการติดมือถือให้น้อยลงได้


 ♫ ลองหากิจกรรม หรืองานอดิเรกอื่นๆ ทำ
      วิธีการนี้ย่อมได้ผลเมื่อเราทำกิจกรรมให้ยุ่งเข้าไว้ ช่วยจะเบนหันเหความสนใจไปทางอื่น ซึ่งแทนที่เราจะหมกมุ่นอยู่กับมือถือ อาจจะต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ลองหันมาทำงานอดิเรกอื่นๆ เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ ท่องเที่ยว ดูหนัง หรือหากิจกรรมที่คิดว่ามีประโยชน์กว่าการเล่นมือถือดู เชื่อหรือไม่ว่าอาการติดมือถือย่อมจะลดลงอย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ต่างๆ ที่มือถือให้ไม่ได้อีกด้วย

♫ ค้นหาสาเหตุที่คุณติดมือถือ
     อาการติดมือถือย่อมมีสาเหตุ ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าทำไมเราถึงติดมือถือหนักขนาดนั้น บางคนติดมือถือเพราะจำเป็นต้องคุยงาน ก็ให้ลดเรื่องงานให้น้อยลง ผ่อนคลายให้มากขึ้น หรือบางคนติดมือถือชอบเล่นเกม ก็ลดการเล่นเกมให้ลดลง ง่ายๆ คือค้นหาสาเหตุให้เจอ แล้วกำจัดต้นตอนั้นออกไป เพียงเท่านี้ อาการติดมือถือก็จะลดลงเช่นกัน

♫ ลดการพูดคุยผ่านมือถือให้น้อยลง และสื่อสารในชีวิตจริงให้มากขึ้น
      ไม่ว่าจะเป็นการคุยผ่านข้อความก็ดี หรือจะเป็นการคุยผ่านเสียงสนทนาก็ตาม ลองลดการสื่อสารผ่านมือถือ แล้วเพิ่มการพูดคุยกันในชีวิตจริงให้มากขึ้น อย่างน้อยการสื่อสารในชีวิตจริง ก็ย่อมช่วยลดการติดมือถือได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีประโยชน์ในการเพิ่มความสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ


♫ จัดการกับค่าใช้จ่ายสำหรับมือถือให้น้อยลง
       สำหรับคนที่ติดมือ ส่วนใหญ่มักจะมีค่าใช้จ่ายในด้านการสื่อสารหรือค่าดาต้ามากขึ้นตามไปด้วย ให้ลองลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ดู สำหรับคนที่ใช้มือถือแบบรายเดือน อาจจะใช้แพ็กเกจที่โทรได้น้อยลง ใช้ดาต้าได้น้อยลง นอกเหนือจากจะช่วยลดอาการติดมือถือแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าสตางค์ได้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว


♫ ลดการใช้ฟีเจอร์ หรือแอปพลิเคชันบางอย่างในมือถือให้น้อยลง
       มือถือเป็นแค่สื่อกลางในการติดต่อสื่อสารเท่านั้น บางคนอาจจะติดสื่อโซเชียลมีเดียจนมากเกินไป ก็ให้ถอนการติดตั้งแอพพลิเคชันเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียออกไป หรืออาจจะใช้งานเฉพาะสายสนทนาเท่านั้น หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ ไม่ต้องใช้ดาต้า ก็จะช่วยลดการติดมือถือได้มาก


♫ ปรึกษาปัญหากับคนใกล้ชิด
      อาการติดมือถือถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ และคนส่วนมากมักจะไม่รู้ตัวเมื่อมีอาการติดมือถือ แต่เชื่อเถอะว่าคนใกล้ชิดเรานั้นดูออก เมื่อคนใกล้ชิดเตือนเรา เราก็ควรจะรับฟัง อาจจะปรึกษาถึงปัญหา รวมถึงวิธีการแก้ไข เชื่อเถอะว่าคนใกล้ชิดนั้นพร้อมช่วยเราทุกเมื่อ


♫ งดใช้มือถือสักหนึ่งวัน
     เป็นไปได้ให้ลองทำในวันหยุดสบายๆ โดยไม่มีมือถือมากวนใจ อาจจะเริ่มง่ายๆ ด้วยการปิดมือถือ แล้ววางไว้ที่ไหนสักที่แบบไม่ต้องสนใจ แล้วลองทำกิจกรรมอื่นๆ ตามปกติ พอผ่านพ้นวันนั้นไป อาจจะทำให้เราฉุกคิดไว้ว่า พอไม่มีมือถือแล้วก็ไม่เป็นอะไร ก็ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ที่มา : http://www.thaimobilecenter.com/

โซเชียลทำพิษ... 5 โรคฮิตของคนติดจอ

1. โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก (Facebook Depression Syndrome)
          หลายคนอาจสงสัยว่า เล่นเฟซบุ๊กก็มีเพื่อนตั้งมากแล้วจะเป็นโรคซึมเศร้าได้อย่างไร แต่อาการนี้เกิดขึ้นได้จริง ๆ เพราะคนเราเมื่อติดอยู่แต่หน้าจอ จิ้ม ๆ กด ๆ คุยกับคนในโลกออนไลน์ ก็กลายเป็นไปเพิกเฉยต่อคนในโลกจริง แถมหลายคนใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาเราว้าเหว่ เหงา เดียวดาย ก็ยิ่งโพสต์เยอะ

          โดย ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ได้เขียนบทความให้ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก ไว้อย่างน่าสนใจว่า วารสารการแพทย์กุมารเวชศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ และพบว่า คนที่ถูกเพื่อน ๆ ปฏิเสธหรือเป็นที่รังเกียจในโลกเฟซบุ๊กจะเป็นอันตรายมากกว่าถูกปฏิเสธในโลกแห่งความจริง และหลายรายอาจมีปัญหาซึมเศร้าตามมา 

          นั่นเพราะเฟซบุ๊กได้สร้างความเป็นจริงเทียม (artificial reality) ขึ้นมา จากการโพสต์แต่เรื่องดี ๆ แต่เก็บงำเรื่องร้าย ๆ แย่ ๆ ที่อยากปกปิดเอาไว้ เราถึงเห็นแต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบในโลกเสมือนจริงเต็มไปหมด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ความรู้สึก "ไร้ค่า" จึงเกิดขึ้น

          ถ้าคุณรู้สึกเสียความมั่นใจสุด ๆ เวลาส่งคำร้องไปขอเป็นเพื่อนแล้วไม่ได้รับการตอบรับ เก็บมาคิดว่าทำไมจึงไม่เป็นที่ต้องการ นี่ก็เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊กแล้ว วิธีหลีกหนีอาการนี้ก็คือ ลดการเล่นเฟซบุ๊กลง ทั้งอ่านเรื่องคนอื่น และโพสต์เรื่องตัวเอง จะได้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น

2. ละเมอแชท (Sleep-Texting)

          อาการนี้ก็คือ ถึงแม้เราจะนอนแต่ก็ยังลุกขึ้นมาพิมพ์เหมือนกับคนละเมอนั่นเอง สาเหตุก็มาจากพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟนเกินเหตุ ทำให้สมองยึดติดกับโทรศัพท์อยู่ทุกขณะจิต แม้กระทั่งเวลานอน หากมีข้อความเข้ามา สมองก็จะปลุกร่างกายที่หลับใหลให้อยู่ในสภาวะละเมอ แล้วกดส่งข้อความไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราอาจไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรไป หรือส่งไปหาคน เพราะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แบบนี้ก็เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดได้เลยนะเนี่ย
          นอกจากเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดแล้ว อาการละเมอแชทยังกระทบสุขภาพด้วย เพราะเมื่อสมองปลุกให้เราตื่นในช่วงนี้ร่างกายก็จะนอนหลับไม่สนิทเต็มที่ เป็นเหตุให้พักผ่อนไม่พอ กระทบมาถึงระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้สะสมความเครียด เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ฝันร้าย กระทบต่อการเรียนและการทำงานได้เลยล่ะ

3. โรควุ้นในตาเสื่อม

          ปกติเราก็ใช้งานดวงตาหนักอยู่แล้ว และถ้ายิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเพ่งข้อความในจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก็ยิ่งทำให้ดวงตาของเราก็ทำงานหนักขึ้นแบบคูณสอง ถ้าปล่อยไปนาน ๆ จนมองเห็นหยากไย่ ตาข่าย หรือเส้นอะไรวนไปวนมาเหมือนยุง ปัดเท่าไรก็ไม่โดนสักที แบบนี้ต้องรีบหาหมอแล้ว เพราะนี่คือ "โรควุ้นในตาเสื่อม

          จะบอกว่าจริง ๆ แล้วโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ เพราะใช้งานดวงตามานานจนเสื่อมไปตามวัย แต่น่าตกใจทีเดียวที่ปัจจุบันพบคนอายุน้อย ๆ เป็นโรคนี้มากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการแชททั้งวัน จ้องจอทั้งคืน เล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ ไม่ว่างเว้นนี่เอง พอรู้สึกปวดตาก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก มารู้ตัวอีกทีก็เห็นภาพเป็นคราบดำ ๆ เป็นเส้น ๆ ไปซะแล้ว 

          วิธีป้องกันก่อนเป็นโรควุ้นในตาเสื่อมก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักพักสายตาเสียบ้าง มองไปในที่ไกล สูดอากาศธรรมชาติให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย หลับตาลงสักครู่ รู้จักใช้งานเทคโนโลยีในมืออย่างพอเหมาะ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงโรคนี้ได้แล้ว

4. โนโมโฟเบีย (Nomophobia)

          ชื่อประหลาด ๆ นี้ มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" แปลตรงตัวก็คือ โรคกลัวไม่มีมือถือใช้ เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวล 

          คิดดูว่าถ้าเราอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือจู่ ๆ แบตเตอรี่โทรศัพท์ดันหมดซะงั้น แล้วเรารู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย แสดงว่าเข้าเค้าอาการโนโมโฟเบียแล้วล่ะ ในบางคนเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ได้เลย ซึ่งอาการจะหนักเบาขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคน

          สำรวจตัวเองดูหน่อยซิว่า เราหมกมุ่นอยู่กับการเช็กข้อความในมือถือ ชอบหยิบขึ้นมาดูบ่อย ๆ หรือเปล่า หรือทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเตือนจากมือถือจะต้องวางภารกิจทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแล้วรีบคว้าโทรศัพท์มาเช็กแบบด่วนจี๋ทันใจ ใครเป็นแบบนี้ก็เข้าข่ายโนโมโฟเบียแล้วล่ะจ้า ยิ่งถ้าตื่นนอนปุ๊บเช็กมือถือปั๊บ ห่างจากมือถือไม่ได้เลย หรือใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนตรงหน้า ก็ยิ่งชัด 

         ใครที่มีอาการอย่างที่กล่าวว่า ต้องระวังปัญหาสุขภาพให้มาก ๆ โดยเฉพาะนิ้วล็อก ปวดตา ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ หมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ รวมทั้งอาการนอนไม่หลับ และโรคอ้วนที่เกิดจากมัวแต่นั่งเล่นมือถือนาน ๆ ไม่ลุกไปไหนด้วยนะ

 5. โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)

          โรคฮิตของคนติดแชทที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 5 ก็คือ โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) หรือโรคใบหน้าสมาร์ทโฟน เกิดจากการที่เราก้มลงมองหน้าจอ หรือจ้องสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตเป็นเวลานานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อคอเกิดอาการเกร็งและไปเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม 

          เมื่อแก้มถูกแรงกดนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้เส้นใยอิลาสติกบนใบหน้ายืด จนแก้มบริเวณกรามย้อยลงมา แถมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากก็จะตกไปทางคางด้วย จนใบหน้าอาจดูผิดแปลกไปจากเดิม และจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ของตัวเอง ฟังแล้วน่ากลัวนะเนี่ย หากใครเป็นมาก ๆ เข้าก็ถึงกับต้องศัลยกรรมกันเลยนะ

ที่มา : http://health.kapook.com/

โซเชียลมีเดีย สื่อไร้สายมหันตภัยวัยรุ่น

      ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา "สื่อสังคมโซเชียลมีเดีย" มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ซึ่งนำเสนอโดยไม่ผ่านการคัดกรองนับเป็นเรื่องน่าห่วง หากไม่ป้องกันจะกลายปัญหาใหญ่ของสังคมวัยรุ่นไทยในอนาคต
"สื่อสังคมโซเชียลมีเดีย" ถือว่ามีอิทธิพลมากในชีวิตของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย ทั้งใช้เพื่อศึกษาข้อมูล ติดตามความเคลื่อนไหวในสังคม แต่ในโลกของสื่อชนิดนี้ก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ซึ่งบางครั้งถูกนำเสนอออกไปโดยไม่ผ่านการคัดกรอง ดังที่เห็นว่าเมื่อมีเหตุอะไรสื่อชนิดนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างรวดเร็ว และอาจนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบตามมาอย่างที่เห็นในหน้าข่าว
จึงทำให้น่ากังวลว่าสังคมวัยรุ่นไทยปัจจุบันเมื่อใช้สื่อชนิดนี้แล้วจะสามารถแยกแยะได้หรือไม่ นับเป็นเรื่องน่าห่วงและสังคมควรให้ความสนใจหาทางป้องกัน มิฉะนั้นอาจเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในอนาคต
        นายภูเบศร์ สมุทรจักร อาจารย์สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ปัจจัยที่ทำให้พฤติกรรมของวัยรุ่นไทย แสดงออกและพยายามเผยแพร่มากขึ้น มาจากการขยายตัวของสื่อโซเชียลมีเดียที่มีมาก และเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นหญิงก็มีความคึกคะนองมาก และใช้ความรุนแรงไม่ต่างจากวัยรุ่นชาย ซึ่งมองว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคม ที่ทำให้คนกล้าเปิดเผยการกระทำมากขึ้น
ทั้งนี้ จะเห็นว่ากรอบทางวัฒนธรรมของสังคมไทยปัจจุบัน มีความหละหลวมมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่ออดีตที่กรอบตรงนี้จะคอยควบคุมพฤติกรรมคนในสังคมอยู่ แต่เมื่อการแสดงออกสมัยนี้มีความเป็นอิสระ ทำให้ความรู้สึกอดกลั้นที่อยู่ภายในถูกเปิดเผยออกมากลายเป็นความรุนแรง และนำมาระบายผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ในสังคมที่เยาวชนมักมีการแสดงความคิดเห็นอย่างสุดโต่ง สุดขั้วออกมามากขึ้น ประกอบกับรู้สึกว่ามีผู้สนับสนุนที่มาจากผู้ชม ยอดไลค์ เหตุผลนี้จึงยิ่งทำให้ผู้ที่แสดงออกทางสื่อประเภทนี้ยิ่งโพสต์ออกมามากขึ้น
        โดยการแก้ปัญหาในขณะนี้ยังไม่เห็นว่าจะมีหลักการใด มาติดตามพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียได้ทัน ไม่ว่าจะเอา กระทรวง กรม ไหนมาควบคุมก็ทำได้ไม่ทัน เพราะสื่อวันนี้มีมากกว่าองค์กรที่มาควบคุม แต่ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง เพราะขณะนี้สังคมกำลังเคลื่อนไปสู่ความมีเสรีภาพ
       "แต่การลดปัญหา จะต้องทำให้คนในสังคมมีวิจารณญาณ มีความยั้งคิด และช่วยกันติดตามตรวจสอบ ถึงแม้อาจจะไม่มีประสิทธิภาพมากแต่ก็พอสามารถแก้ไขได้" อาจารย์สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ย้ำ
        อีกมุมจาก พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดี กรมสุขภาพจิต ชี้ว่า วัยรุ่นมีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยง ประกอบกับปัจจุบันรูปแบบในสังคมที่เปลี่ยนไป โซเชียลมีเดียเข้ามีบทบาทมากขึ้น ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาความรุนแรงในกลุ่มเด็กและเยาวชนก็เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลมาจากสื่อโซเชียลมีเดียที่เป็นหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมวัยรุ่นเปลี่ยนไป ทั้งการข่มขู่ในโลกออนไลน์ รวมถึงการใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้มาจากสภาพปัจจุบันที่เด็กใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวน้อยลง รวมกลุ่มกันมากขึ้น รับรู้สิ่งแวดล้อมนอกครอบครัวเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีคิด การใช้ชีวิต ภาวะทางอารมณ์ การยับยั้งชั่งใจ จึงทำให้น่าเป็นห่วง
       สำหรับการแก้ปัญหาการใช้สื่อของวัยรุ่นที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรม รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต แนะว่า โรงเรียน ครอบครัว สังคมควรอธิบายให้เยาวชนเข้าใจถึงการใช้สื่อให้อย่างถูกต้องว่าอะไรดี และจะต้องทำให้รับรู้ถึงผลที่จะเกิด และภาครัฐควรหาพื้นที่เพื่อให้เยาวชนได้ออกมาทำกิจกรรมให้มากขึ้น ไม่ควรให้เยาวชนอยู่แต่ในสังคมโซเชียลมีเดียอย่างเดียว
       "การแก้ปัญหาความรุนแรงในเยาวชน ถ้าแก้ไม่ได้ปัญหาก็จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันทำ เฝ้าระวัง ใส่ใจ และลงมาดูแลในเรื่องนี้อย่างจริงจัง" พญ.พรรณพิมล กล่าว
       เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.แมน เม่นแย้ม รองผู้กำกับ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.) บอกว่า พฤติกรรมเด็กไทยปัจจุบันแนวโน้มใช้ความรุนแรง ก้าวร้าวมากขึ้น เพราะปัจจุบันพบการกระทำความผิดของกลุ่มเยาวชนจากเดิมมีเกณฑ์ถูกดำเนินคดีช่วงอายุ 16-18 ปี แต่ในปัจจุบันอยู่ช่วงอายุ 12 ปี โดยไปเกี่ยวข้องทั้งยาเสพติด ความรุนแรง และข่มขืน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าห่วง
       "ปัจจัยหนึ่งมาจากสื่อออนไลน์ ที่ทำให้เยาวชนสามารถระบายออกทางอารมณ์ได้อย่างเปิดเผย โดยขาดการวิเคราะห์ ไตร่ตรอง และไม่มีผู้ใดตักเตือน จึงทำให้ปัจจุบันมักจะเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ของเยาวชนแสดงออกมามากขึ้นและพร้อมที่จะขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วเพื่อนำไปสู่การกระทำในลักษณะอื่นที่สุ่มเสี่ยง" พ.ต.ท.แมน ฉายภาพปัญหา
      รอง ผกก.ดส. แนะนำว่า การแก้ปัญหาสถาบันครอบครัว ต้องมาดูแลควบคุมพฤติกรรมบุตรหลานให้มากขึ้น ไม่ควรเลี้ยงลูกด้วยสื่อเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อเด็กสามารถเข้าถึงแหล่ง ข้อมูลที่อยู่ในโลกออนไลน์ที่มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี ก็อาจทำให้ยิ่งยากเกินกว่าจะควบคุม อีกทั้งถ้าหวังใช้กฎหมายในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเดียวน่าจะไม่มีประโยชน์ การแก้ปัญหาเรื่องนี้ควรเริ่มตั้งแต่ครอบครัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น

อ้างอิง : http://www.thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์


 ความรู้เบื้องต้นของการสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์  


           นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อย่างเช่นในสำนักงานหนึ่งมีเครื่องอยู่ 30 เครื่อง หรือมากกว่านี้ ถ้าไม่มีการนำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้ จะเห็นว่าต้องใช้เครื่องพิมพ์อย่างน้อย 5 - 10 เครื่อง มาใช้งาน แต่ถ้ามีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้แล้วละก้อ ก็สามารถใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องพิมพ์ประมาณ 2-3 เครื่อง ก็พอต่อการใช้งานแล้ว เพราะว่าทุกเครื่องสามารถเข้าใช้เครื่องพิมพ์เครื่องใดก็ได้ ผ่านเครื่องอื่น ๆ ที่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน
         การ สื่อสารข้อมูลเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยอาศัยสื่อหรือเครื่องมือต่างๆเป็น ช่องทางในการสื่อสาร เช่น การสื่อสารด้วย ท่าทาง ถ้อยคำ สัญลักษณ์ ภาพวาด จดหมาย โทรเลข เป็นต้น ต่อมาการสื่อสารข้อมูลได้พัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มีการนำเทคโนโลยีด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ทำให้การติดต่อสื่อสารเกิดความสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งได้รับข่าวสารทันเหตุการณ์อีกด้วย

ความหมายของการสื่อสาร
            คำว่า  การสื่อสาร (communications)  มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า  communis หมายถึง  ความเหมือนกันหรือร่วมกัน   การสื่อสาร (communication)    หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร  ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์  ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์อื่นใด การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่มีความแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคู่สื่อสาร  โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล


            การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมาย ถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน


            เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและ ได้และใช้ทรัพยากรที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก

ความหมายของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
                การสื่อสาร (communication) หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนสารหรือสื่อระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ โดยส่งผ่านช่องทางนำสารหรือสื่อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
                การสื่อสารข้อมูล (datacommunication) หมายถึง กระบวนการหรือวิธีถ่ายทอดข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่มักจะอยู่ห่างไกลกัน และจำเป็นต้องอาศัยระบบการสื่อสารโทรคมนาคม (telecommunication) เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูล
                เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) หมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เพื่อให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งสามารถใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบ ดังนี้

1. ข่าวสาร (message) ในทางเทคโนโลยีและการสื่อสาร ข่าวสารเป็นข้อมูลที่ผู้ส่งทำการส่งไปยังผู้รับผ่านระบบการสื่อสาร ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบ ดังต่อไปนี้
2. ผู้ส่ง (sender) เป็น อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่อยู่ต้นทาง โดยข้อมูลต้องถูกจัดเตรียมนำเข้าสู่อุปกรณ์ส่งข้อมูล เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็ม (modem) จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม เป็นต้น
3. ผู้รับ (receiver) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ โมเด็ม จานดาวเทียม เป็นต้น เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อไป
4. สื่อกลางหรือตัวกลาง (media) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่นำข่าวสารรูปแบบต่างๆจากผู้ส่งไปยังผู้รับ ได้แก่สายไฟ ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก เป็นต้น สื่อกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม คลื่นวิทยุ เป็นต้น
5. โพรโตคอล (protocol) เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะ กฎระเบียบ หรือวิธีการที่ใช้ในการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกัน และสามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
6. ซอฟต์แวร์ (software) เป็นโปรแกรมสำหรับดำเนินการและควบคุมการส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่กำหนดไว้ ตัวอย่างซอฟต์แวร์ เช่น Microsoft Windows XP/Vista/7, Unix , Internet Explorer , Windows Live Message เป็นต้น